เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ก.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เราชาวพุทธนะ วันพระวันโกนเขาให้เข้าวัดเข้าวา เข้าวัดเข้าวา เห็นไหม เป็นชาวพุทธ ใครมีลูกชายอยากให้บวชพระ บวชพระเพื่อศึกษาธรรมวินัยให้เป็นบัณฑิต เป็นบัณฑิตเพราะเขาจะได้รักษาชีวิตของเขา คนดิบคือคนที่ไม่รู้ ไม่รู้ไม่ประสีประสากับวัฒนธรรมประเพณี เวลามาบวชเป็นพระมาศึกษา พอสึกก็เรียกทิด ทิดย่อมาจากบัณฑิต บัณฑิตคือเรารู้จักบริหารทิศ นี่ทิศบนศีรษะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ทิศเบื้องหน้าคือพ่อแม่ของเรา เบื้องซ้ายเป็นเพื่อนของเรา เบื้องขวา เห็นไหม นี่บริหารทิศ ถ้าบริหารทิศเข้าไป ชีวิตเรามันจะไม่เดือดร้อนจนเกินไปนัก

ถ้าชีวิตเราเดือดร้อนจนเกินไปนักล่ะ? เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์นี่ได้อริยทรัพย์มา สิ่งที่ได้อริยทรัพย์มา ดูสิจิตต้องเกิด จิตไม่มีเว้นวรรค แล้วออกจากร่างนี้ไปมันเข้าไปเกิดในสถานะใด? มันสถานะใดมันก็ต้องใช้ชีวิตของมันไปสถานะนั้น แต่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์มันมีสมอง เกิดเป็นมนุษย์มันมีสังคม เกิดเป็นมนุษย์มีกฎหมายคุ้มครอง เกิดเป็นมนุษย์มีสิทธิเสรีภาพ ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ ถ้าทำดีทำชั่ว ทำดีทำชั่วของใคร?

ถ้าทำดีทำชั่วนะ ความดีของเรา เราว่าเป็นความดีหมดแหละ แต่เพราะมีอวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด พอไม่รู้ว่าถูกหรือผิดเราก็ทำของเราไป พอทำของเราไปแล้วเรามาศึกษาๆ ที่นี่ไง เห็นไหม เขาบอกวัดความดีกันที่ไหน? วัดความดีกันที่ศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีลนั้น เห็นไหม ไม่ลักขโมยของใคร ไม่พูดจาส่อเสียดใคร ไม่ผิดคู่ครองของใคร เห็นไหม ศีล ๕ ศีล ๘ นะเราถือพรหมจรรย์ เราไม่นอนที่อันสูงใหญ่ เราดูแลร่างกายของเรา นี่ศีล ๑๐ เราก็ไม่กัปปิยะ คือสิ่งที่เป็นเรื่องโลกๆ แล้ว ศีล ๒๒๗ เอาสิ่งนี้มาวัดกัน สิ่งนี้ขึ้นเป็นบรรทัดฐานว่าทำความดีๆ นี่ความดีของใคร?

ฝนตก รถติด มันเป็นเรื่องที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ฝนตกรถติดนี่นะเป็นความเดือดร้อนที่เสมอภาค จะมั่งมีศรีสุขติดเหมือนกัน ฝนตกเหมือนกัน แต่ถ้าใครรักษาใจ ใครศึกษา ใครทำความเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่ว่ามนุษย์สร้างกันขึ้นมาเอง ไปสร้างสิ่งกีดขวางมัน มันก็กลับมาทำลายเรา ถ้าเราเข้าใจว่าเรานี่เป็นคนสร้างกันมาเอง สภาวะแวดล้อมเราก็ทำกันซะเอง ทำให้สภาวะแวดล้อมนั้นมันไม่น่าอยู่อาศัย เราอยากนะอยากอยู่ป่าอยู่เขา อยากอยู่ที่อากาศสะอาดบริสุทธิ์ แต่ความจำเป็นของเรา เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เวลาว่าเราเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมะไง นี่เตือนเรา เห็นไหม มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันมีอิสรภาพของมัน มีเสรีภาพของมัน ถ้าสัตว์ป่านะมันจะบินไป มันจะอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน มนุษย์โง่กว่าสัตว์ เพราะมนุษย์ต้องมีกติกา มนุษย์เขียนกติกาสังคมเหมือนกรงขัง แล้วก็ขังเราเอง เราติดกติกา ติดประเพณีวัฒนธรรมของเราเองทั้งหมด

นี่โง่กว่าสัตว์ คือว่ามันไม่มีอิสรภาพที่จะทำตามหัวใจเรียกร้องได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มันก็ต้องมีกติกาเป็นธรรมดา สิ่งที่มีกติกาเป็นธรรมดามันก็รอนสิทธิ์ของเราไป ถ้ารอนสิทธิ์ของเราไป รอนสิทธิ์เพื่ออะไร? เพื่อสังคม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่ถ้าเรามีธรรมะในหัวใจ ถ้ามีธรรมะในหัวใจ ถ้าหัวใจของเราเป็นธรรม เป็นธรรมนะเราจะไม่เดือดร้อนไปกับเขา ฝนตก รถติด ฝนตกเดือดร้อน ดูสิเวลาน้ำท่วม บางคนทุกข์ทนเข็ญใจ น้ำตาล่วงน้ำตาไหลจนทำร้ายตัวเองก็มี บางคนยังยิ้มได้ เขายิ้มได้เพราะอะไร?

เจ็บไหม? เจ็บ น้ำท่วมใครไม่สะเทือน? น้ำท่วมใครไม่มีความทุกข์? มีทุกคน ของเราหามา ของเราดีๆ ทั้งนั้น น้ำท่วมเสียหายหมดเราไม่ทุกข์หรือ? ทุกข์ แต่เพราะเรารักษาใจเรา จิตใจมันได้มีปัญญา นี่ถ้าเราทุกข์ไปเราโง่ น้ำท่วม ฝนตกรถติดมันก็ทุกข์อยู่แล้ว เราก็ลำบากพอแรงอยู่แล้ว ทำไมต้องหาไฟมาเผาเราอีกชั้นหนึ่งล่ะ ในเมื่อสภาวะแวดล้อมเราก็ไปไม่ได้ทั้งนั้นแหละ นี่เรานัดหมายที่ใดไว้มันผิดนัดไปหมด เรามีความเสียหายหมด แล้วเราจะไม่ทุกข์หรือ?

ทุกข์ แต่เรามีปัญญาของเราไง มีปัญญาว่ามันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเดือดร้อนเกินไปมันก็เป็นแบบนี้ มันแก้ไขสิ่งใดไม่ได้หรอก แต่สักพักหนึ่งพอน้ำมันลดแล้วมันก็กลับไปสู่สภาวะเดิม ถ้าจิตใจเรามีสติปัญญา เห็นไหม เราจะไม่เอาไฟมาเผาเราอีกชั้นหนึ่ง มันก็ทุกข์อยู่แล้ว ความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างนี้ ความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ เห็นไหม แล้วเวลาเราเป็นนักปฏิบัติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา

อ้าว แล้วธรรมดาหรือเปล่าล่ะ? ถ้าธรรมดา มันเป็นธรรมดานี่มันเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับมันสิ มันเป็นอย่างนี้เราทุกข์ทำไมล่ะ? มันไม่ธรรมดาไง มันไม่ธรรมดาเพราะเราทุกข์ไง มันไม่ธรรมดาเพราะเราไม่พอใจไง มันไม่ธรรมดาเพราะไม่ได้ดั่งใจไง มันไม่ธรรมดาเพราะเราไม่พอใจไง เป็นธรรมดาหรือเปล่าล่ะ? แต่เวลาพูดนะปากเปียกปากแฉะ นี่มันเป็นเช่นนี้เอง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันต้องดับเป็นธรรมดา แต่ใจมันธรรมดาไหมล่ะ? เพราะ! เพราะเรายังไม่ได้ถอดถอน เพราะเรายังไม่ได้ถอนสิ่งที่มันปักฝังหัวใจเราอยู่

อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง เห็นไหม ทางวิชาการทางโลก ถ้าใครมีการศึกษามาสิ่งใด เขาจะมองโลกในแง่ของวิชาการของเขา นั่นคือวิชาชีพ แต่เวลาเรารู้ทัน รู้ทันอวิชชา อวิชชานี่มันเสวยอารมณ์ ถ้ามันขยับออกนั่นล่ะมันเสวยแล้ว ถ้ามันเสวยอารมณ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีก เจ้าจะเกิดในหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย”

เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย พญามารเกิดในหัวใจที่มีวิชาที่รู้เท่าไม่ได้ แต่เพราะเราไม่รู้เท่า พอมันขยับไปมันก็เสวยไปแล้ว แล้วมีตัณหาความทะยานอยากอย่างนี้ พอใจหรือไม่พอใจนี่ไง ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะ นี้คือธรรมโอสถ คือรักษาบาดแผลใจ ถ้าเรารักษาบาดแผลใจ เห็นไหม หลวงตาท่านพูดบ่อย

“คนถ้าใจดีนะกำขี้ก็มีค่า คนถ้าใจมันชั่วกำเพชรมันก็ไม่มีค่า เพราะใจมันชั่ว”

ถ้าใจมันชั่ว เห็นไหม มันคิดนะ เพชรนี่ของมีค่าทั้งนั้นแหละ แต่ใจมันชั่ว มันทำสิ่งนั้นเสียหายหมดเลย แต่ถ้าใจมันดีนะ กำขี้ก็มีคุณค่า เป็นปุ๋ยก็ได้ เป็นประโยชน์ก็ได้ถ้าใจมันดี นี่ถ้าเรารักษาใจธรรมโอสถ ถ้ารักษาใจแล้ว ฝนตกรถติดเราก็เข้าใจได้ ทุกข์ไหม? ทุกข์ แต่คนหนึ่งทุกข์แล้วเต้นเดือดร้อนไปหมดเลย คนหนึ่งทุกข์ยิ้มได้ ยิ้มได้ ยิ้มเพราะอะไร? ยิ้มเพราะปลอบใจตัวเองไง ถ้ายิ้มเพราะปลอบใจตัวเองแล้ว คนข้างเคียงเขาก็ไม่ทุกข์ร้อนกับเราไป

เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์ แผดเผากัน เอ็งก็ไฟดุ้นหนึ่ง ข้าก็ไฟดุ้นหนึ่งแล้วโยนใส่รุมกัน ไฟมันก็กองใหญ่ขึ้น ต่างคนต่างทุกข์ แต่คนหนึ่งทุกข์ เห็นไหม คนหนึ่งดับไฟให้ คนหนึ่งดับไฟให้ สังคมมันไม่เดือดร้อนจนเกินไปนัก นี่พูดถึงสังคม แต่ใจเราล่ะ? ถ้าใจของเราดี นี่เรารักษาใจเรา คำว่ารักษาใจเรานะ ทำบุญกุศลขนาดไหนนี่เป็นอามิส เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์ไว้ ตอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

“อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย”

สิ่งที่บูชาด้วยอามิสมันเป็นของในโลกนี้ ข้าวของเงินทองก็เกิดในโลกนี้ ข้าวปลาอาหารก็เกิดจากในโลกนี้ ถวายพระไปแล้ว พระฉันเพื่อดำรงชีวิตก็ชีวิตในโลกนี้ เห็นไหม ถ้าปฏิบัติบูชานะ ถ้าปฏิบัติบูชา นี่เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ในปัจจุบันนี้ กตัญญูกตเวทีนี้เป็นเครื่องหมายของคนดี เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ก็มีชีวิตอาศัยเป็นพระอรหันต์ของเรา

แต่ถ้าเราพยายามชักนำพ่อแม่ให้ปฏิบัติ ชักนำพ่อแม่ให้มีบุญกุศล เวลาตายไปไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ข้ามภพข้ามชาติไปเลย นี่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ข้ามภพข้ามชาติด้วยบุญกุศลของพ่อแม่นั้นมันเป็นอามิส แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นี่ให้ปฏิบัติบูชาเถิด ถ้าปฏิบัติบูชาเถิด ถ้าเราไม่ทำบุญกุศล เราไม่เสียสละมันจะปฏิบัติบูชาไหม? แม้แต่ของที่ถืออยู่กับมือ ถือไว้นะหลวงตาบอกแบงก์บาท แบงก์นี่จะเสียสละ ถือจนแบงก์เปียกเลย จนแบงก์มันเปื่อยมันขาดยังให้ไม่ได้เลย

การเสียสละ ถ้าเราเสียสละก็เพื่ออย่างนี้ไง เพื่อไม่กำแบงก์จนมันเปียกไง ถ้าแบงก์ของเรามันยังใหม่เอี่ยมเราเสียสละได้ เสียสละขึ้นมานี่มันสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม จิตใจมันจะฟังเหตุฟังผลนะ คนถ้าจิตใจเป็นธรรมมันเสียสละได้ พอเสียสละได้มันฟังเหตุฟังผล คนตระหนี่นะมันไม่ฟังเหตุฟังผล ไม่ฟังเหตุผลเพราะอะไร? เพราะไม่ยอมรับสิ่งใดเลย ของนี้เป็นของเรา ยึดมั่นถือมั่นแต่ทิฏฐิมานะของตัว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะตรัสรู้โดยชอบ โดยชอบ แต่เวลาปัญญาของเรานี่เราชอบของเราไง เราชอบของเรา แต่มันไม่ชอบในวัฏฏะไง ในวัฏฏะนะ กามภพ รูปภพ ถ้ามันชอบในวัฏฏะ ในวัฏฏะมันเกี่ยวเนื่องกันไป

นี่ที่ว่าเวลาจิตเวลาสิ้นกิเลสไป เห็นไหม มันครอบสามโลกธาตุ มันบรรจุ มันกว้างขวางครอบสามโลกธาตุ กามภพ รูปภพ นี่ดวงใจนี้มันเคยเกิดเคยตาย มันครอบคลุมไปหมดเลย แต่จิตใจของเรานี่เป็นส่วนหนึ่งของเรา เกิดในภพใดชาติใด ถ้าเกิดในภพใดชาติใดมันเป็นผลของวัฏฏะ ถ้าจิตใจมันตระหนี่ถี่เหนียว ถ้ามันยึดมั่นของมัน มันทำสิ่งใดไม่ได้

ฉะนั้น เราเสียสละนี้เป็นอามิส แต่เป็นอามิสแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “จงปฏิบัติบูชาเราเถิด” ถ้าปฏิบัติบูชานะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือความรู้สึก ชื่อ เราได้กันแต่ชื่อมา พุทธะนะ พุทธะคือพุทโธ พุทโธนี่เป็นชื่อ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนพุทโธไม่ได้ เป็นพุทโธในตัวมันเอง นี่คือสมถะ นี่คือจิตมันสงบ นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ก็ใช้ปัญญาพิจารณาไป มันทำลายผู้รู้ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ถ้ามันทำลายหมด นี่ไงถ้าปฏิบัติบูชามันจะเข้าไปรู้ เข้าไปเห็นตามความเป็นจริง

ก่อนที่จะปฏิบัติบูชา คนเรานะถ้ามันไม่มีศรัทธาความเชื่อ จะไม่มีการศึกษา มีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีศรัทธาเป็นหัวรถจักรชักนำเข้ามา ถึงมีปริยัติคือการศึกษา ศึกษาแล้วต้องปฏิบัติ ไปศึกษาแล้วก็ไปติดอีก เวลาไม่สนใจก็ไม่สนใจเลย พอสนใจก็ไปติดหมดเลย บอกพุทธพจน์ๆ ใช่ พุทธพจน์ธรรมวินัยพูดไว้อย่างนั้น แต่จิตใจเราเข้าใจไม่ได้ข้อเท็จจริงแบบนั้นหรอก จิตใจว่าพุทธพจน์ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”

ดำริคือกิเลส แต่ที่พูดพุทธพจน์อยู่ข้างนอก พุทธพจน์คือสัญญาไง จำมาไง เปรียบเทียบมาไง แล้วทำต้องก็อปปี้เลย ต้องให้เหมือนอย่างนั้นเลย...ไม่ใช่ ต้นไม้ต้นเล็กหรือต้นใหญ่ ต้นเล็กกว่ามันจะเจริญงอกงามขึ้นมาเป็นต้นใหญ่ มันต้องใช้พัฒนาการของมัน ต้นเล็กมันก็คือต้นเล็ก ต้นใหญ่มันก็คือต้นใหญ่ จิตมันต้องมีพัฒนาการของมัน ตั้งแต่โลกียปัญญา ปัญญาที่เป็นโลกๆ ถ้ามันสงบเข้ามา มีปัญญาเข้ามามันจะเป็นโลกุตตรปัญญา แล้วถ้ามันพัฒนาขึ้นมาล่ะ? โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันพัฒนาขึ้นมาไง ไอ้นี่ว่าพุทธพจน์ๆ แล้วก็อปปี้มาเลย แล้วเป็นจริงไหมล่ะ?

ปริยัติศึกษาแล้ววางไว้ก่อน นี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราพยายามฝึกฝนของเราให้เป็นของเรา ให้เป็นของเรา ถ้าจิตสงบก็รู้ว่าจิตสงบ จิตวิปัสสนาหรือใช้ปัญญามันก็รู้ว่าใช้ปัญญา แล้วเวลามันชำระล้าง มันตัดกิ่งตัดก้าน มันรู้ว่ามันตัดกิ่งตัดก้าน เพราะนี่เวลากิเลสขาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ดั่งแขนขาด” เราตัดแขนเราขาด เราไม่รู้ว่าแขนเราขาดหรือ? แต่เราบอกว่าดั่งแขนขาดแล้วเอาแขนซ่อนไว้ข้างหลัง แขนไม่มีๆ มันเป็นจริงไหม? ดั่งแขนขาดก็มันขาดไปแล้วไง นี่มือไม่มีไง มันซ่อนไว้ข้างหลัง แต่ถ้ามันดั่งแขนขาดมันสมุจเฉทปหานมันเป็นแบบใด? ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาอันนั้นจะเป็นประโยชน์

สิ่งที่เป็นประโยชน์นี่ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติบูชาหมายความว่าเป้าหมายของพุทธศาสนาคือสิ้นสุดแห่งทุกข์ แต่เราเกิดมาแล้วเราก็พยายามสร้างสมบารมีของเราเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์ ทุกคนก็ปรารถนา ทุกคนก็อยากได้ แต่ถ้ามันไม่ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราทำบุญทำทานกัน ทำบุญทำทานกันเพื่อ เพื่อให้จิตใจมีเสบียงกรังไว้เดินทางไกล เวลาจิตนี้ออกจากร่างไป เราทำบุญกุศลไป อุทิศส่วนกุศลฝากไปรษณีย์ไป แล้วถ้าไปรษณีย์มันไม่เอาไปให้ล่ะ? แต่ของเราไม่ต้องฝากไปรษณีย์ไป เราจะเอาไปกันเอง เราทำบุญเราเสียสละต่อหน้า เรารู้ของเรา อยู่ในจิตของเรา เราจะเอาของเราไปเอง เราไม่ต้องให้ใครฝากไปให้ เราจะเอาไปเอง

หลวงตาบอกว่า “กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา” เราทำเอง กุสลา ธมฺมาคือทำความดี อกุสลา ธมฺมาคือทำความชั่ว ถ้ากุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ทำเดี๋ยวนี้ มันรู้เดี๋ยวนี้ มันเอาไปเดี๋ยวนี้ จะต้องให้ใครฝากไป? ถ้าไม่ฝากไป เห็นไหม นี่เราทำของเรา เราทำบุญกุศลเราก็ทำ เสียสละ ทาน ศีล ภาวนา เป็นสามเส้า เราตั้งสิ่งใดไว้บนสามเส้านั้นมันจะไม่ตก แต่บางคนบอกว่านี่ศีลภาวนาไปเลย ทานมันเป็นเรื่องเล็กน้อย

เรื่องเล็กน้อยนะ นี่ราชสีห์มันยังพึ่งหนูเลย เวลามันติดบ่วง หนูนี่ไปกัดเชือกให้ราชสีห์หลุดพ้นออกไปได้ ทาน ทานที่เป็นพื้นฐาน จิตใจเวลาปฏิบัติเข้าไปมันไปอั้นตู้ จิตใจปฏิบัติเข้าไปแล้วมันไม่มีทางไป ทานนี่แหละมันจะเปิดทางให้ เปิดทางให้จิตนี้มีช่องทางของมันไป เปิดให้จิตนี้มีทางออกไม่ทุกข์ยากจนเกินไป แต่คนไม่เห็นประโยชน์ของมันไง เห็นไหม เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่น้ำนี่สำคัญมาก น้ำนี่ทำอุตสาหกรรมก็ได้ ทำอาหารก็ได้ ถ้าขาดน้ำทำสิ่งใดไม่ได้เลย แต่น้ำเปล่าๆ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะน้ำเปล่าๆ กินแล้วมันก็เบื่อ

นี่ก็เหมือนกัน สมาธิไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ขาดสมาธิภาวนาไม่มี ถ้าขาดสมาธิเป็นโลกียะหมด เป็นวิชาชีพ เป็นตรรกะ ไม่มีมรรค แต่ถ้ามีสัมมาสมาธิ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม น้ำหล่อลื่น น้ำทำให้การขยับนั้นเป็นไปได้ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิมีสมาธิหมด ถ้ามีสมาธิแล้ว เวลาปัญญามันเกิดขึ้น เวลาปัญญาเกิดขึ้นเราจะรู้ได้

รู้จริงกับรู้จำ ศึกษามานี้รู้จำมา พุทธพจน์ๆ นี่รู้จำมา พอรู้จริงขึ้นมาพูดไม่ออก หลวงตาท่านบรรลุธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า กราบเหมือนคนบ้า แต่ไม่บ้าเพราะสติสมบูรณ์ กราบด้วยความลึกซึ้งอันนั้น กราบธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วเรามารู้เท่าๆ นี่กราบแล้วกราบเล่า กราบด้วยอะไร? กราบด้วยความซาบซึ้ง กราบด้วยความสำนึกบุญคุณ กราบด้วยบารมีธรรม กราบด้วยความซาบซึ้งไม่ได้กราบด้วยสัญญาอารมณ์ เห็นไหม ถ้ารู้จริงเป็นอย่างหนึ่ง รู้จำเป็นอย่างหนึ่ง

ฉะนั้น เราฟังธรรม วันนี้วันพระ วันพระวันโกนเราต้องสร้างสมบัติของเรา สมบัติของเราเพื่อเป็นสมบัติของเรา เห็นไหม สมบัติของเราเพื่อเป็นความจริงของเรา อริยทรัพย์ ทรัพย์สมบัติทางโลกนี้เป็นสาธารณะ คืออยู่ประจำโลก ใครมีสติปัญญาก็หาสิ่งนี้มาพร้อมกับอำนาจวาสนา แต่ถ้าทรัพย์จากภายในนะเป็นของส่วนบุคคล เป็นของจิตดวงนั้น ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ตนโง่ๆ อย่างพวกเราก็อาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยครูบาอาจารย์ที่พอชี้ทางไปด้วยถึงจะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่เมื่อยังขยับไม่ได้ก็ขอให้มีผู้จูงสักหน่อยก็ยังดี ถ้าจูงแล้วเราต้องขยัน ต้องก้าวเดินของเรา

จะเดินได้หรือเดินไม่ได้ไม่สำคัญ การเดินของจิต กิริยาของมัน การเดินคือมรรคมันหมุนไป ปัญญามันก้าวเดินในใจ พอมรรคมันหมุนมันจะติ้วๆ มันหมุนด้วยปัญญาของมัน เรานั่งเฉยๆ แต่มันหมุนอยู่กลางหัวใจ ปัญญามันหมุนนะ เห็นไหม ก้าวเดินด้วยจิต ไม่ได้ก้าวเดินด้วยกิริยาการเดิน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็ให้จิตมันหมุนของมันไป จิตมันจะมีผลของมัน อันนี้เวลาปฏิบัติไปจะเห็น ถ้าคนไม่ปฏิบัติขึ้นมาจะไม่เข้าใจ เวลาก้าวเดินก็มาคิดถึงแต่รูปธรรม แต่ถ้ามันเป็นจริงนะมันเป็นนามธรรม พอนามธรรมมันเกิดขึ้นมาเราจะเข้าใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา

วันพระ วันโกน ทำบุญกุศลแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร เราเคยสร้างมาสิ่งใด อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย นี่สิ่งนี้เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา บอกว่าเราจะเอาไปอุทิศทำไม? ทุกคนมีเวรมีกรรมนะ ทุกคนได้สร้างมาทั้งดีและชั่ว ถ้าเป็นความดีก็ดีไป ถ้าสิ่งใดที่เป็นความชั่ว เราอุทิศส่วนกุศลให้เขา ขออภัย เลิกแล้วต่อกัน ขออภัย เลิกแล้วต่อกัน แล้วสิ่งที่เป็นบุญกุศลนี้เป็นนามธรรม จิต จิตอาศัยสิ่งที่เป็นนามธรรม จิตที่เป็นนามธรรมก็อาศัยน้ำใจ เรามองสิเวลาคนเราพอใจน้ำใจมันถึงกัน นี่เรื่องของความรู้สึกมันถึงกัน ฉะนั้น เราอุทิศส่วนกุศลเพื่อความรู้สึกนึกคิดในสามโลกธาตุนี้ เอวัง